การตั้งถิ่นฐานของมนุษย์
ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการตั้งถิ่นฐาน
การตั้งถิ่นฐาน เกิดขึ้นเมื่อมนุษย์มีความสัมพันธ์กับสภาพแวดล้อมรอบ ๆ ตัว จึงเกิดการรวมกลุ่มเพื่อตั้งบ้านเรือนและจัดการกับสิ่งรอบตัวให้เหมาะกับการดำรงชีพ การตั้งถิ่นฐานของมนุษย์จะมีลักษณะแตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการตั้งถิ่นฐานนั้น ๆ ดังนี้
ก. ปัจจัยทางกายภาพ แบ่งได้เป็น
1.โครงสร้างและระดับความสูงของพื้นที่เมื่อพิจารณาแล้วจะเห็นว่าเขตที่ราบมีความเหมาะสมที่จะตั้งถิ่นฐานมากกว่าเขตที่สูงหรือภูเขา เนื่องจากลักษณะพื้นที่กว้างขวางราบเรียบทำให้สามารถเพาะปลูกได้สะดวก และเขตที่ราบมักจะมีดินอุดมสมบูรณ์ สามารถปลูกพืชได้หลายชนิดมากกว่า สำหรับพื้นที่สูงหรือทุรกันดารซึ่งเข้าถึงลำบากนั้น มีเหตุจูงใจให้มนุษย์ตั้งถิ่นฐานอยู่บ้าง เช่น เพื่อความปลอดภัยจากการรุกราน หรือหากจำเป็นต้องตั้งถิ่นฐานตามภูเขาก็มักจะเลือกอยู่อาศัยในลาดเขาด้านที่เหมาะสม
2.อากาศ อากาศมีผลโดยตรงต่อมนุษย์เนื่องจากมีบทบาทสำคัญในการกำหนดลักษณะดินและพืช สภาพของดินฟ้าอากาศมีอิทธิพลต่อการตั้งถิ่นฐาน มีอิทธิพลต่อการสร้างบ้านเรือน ที่อยู่อาศัย และวิถีการดำรงชีวิตจากแผนที่แสดงการกระจายตัวประชากรจะเห็นได้ว่า ประชาชนจะอยู่กันหนาแน่นในเขตที่มีอากาศเหมาะสม ส่วนบริเวณที่มีอากาศปรวนแปรจะมีประชาชนเบาบาง หรือปราศจากผู้อยู่อาศัย
นอกจากอุณหภูมิแล้ว ความชื้นของอากาศก็มีความสำคัญ ในแถบศูนย์สูตรที่มีสภาพอากาศร้อนชื้นจะทำให้เหนื่อยง่าย มีเหงื่อมาก ไม่สบายตัว ในเขตอากาศเย็นกว่าแถบละติจูดกลาง อุณหภูมิเย็นพอเหมาะ ทำให้การตั้งถิ่นฐานหนาแน่น
3.น้ำ ปัจจัยในเรื่องน้ำมีอิทธิพลต่อการตั้งถิ่นฐานมาก โดยเฉพาะในสมัยโบราณการตั้งถิ่นฐานทุกแห่งเป็นการหาพื้นที่ที่จะทำการเกษตรด้วย น้ำที่ใช้ในการทำเกษตรกรรมไม่จำเป็นต้องมาจากฝนหรือแหล่งน้ำลำธารแต่เพียงอย่างเดียว ในบางแห่งที่ขาดฝน อาจหาแหล่งน้ำอื่น ๆ มาใช้เพื่อการเกษตร เช่น น้ำบาดาล
ปัจจุบันมนุษย์สามารถแก้ปัญหาเรื่องน้ำไปได้มาก เช่น การจัดการระบายน้ำของชาวดัตช์ ทำให้สามารถขยายพื้นที่เพาะปลูกไปในที่ลุ่มต่ำกว่าระดับน้ำทะเลได้ สำหรับในประเทศไทยสามารถเพิ่มเนื้อที่เพาะปลูกริมทะเลด้วยการถมทะเล หรือโครงการพัฒนาลุ่มน้ำตามภาคต่าง ๆ สิ่งเหล่านี้จะช่วยปรับปรุงพื้นที่ชนบทให้สามารถทำการเกษตรได้อย่างกว้างขวาง
ข. ปัจจัยทางวัฒนธรรม
การที่มนุษย์ครอบครองพื้นที่เพื่อตั้งถิ่นฐานทำมาหากิน ณ ที่ใดที่หนึ่ง ย่อมมีอิทธิพลต่อสภาพธรรมชาติ รวมทั้งเกิดความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ในถิ่นฐานเดียวกัน และระหว่างถิ่นฐานต่าง ๆ
วิถีชีวิตความเป็นอยู่ที่แตกต่างกันออกไปในถิ่นฐานแต่ละแห่ง สามารถจำแนกได้เป็น
1. ภาษา โดยเฉพาะภาษาพูด ถือว่าเป็นตัวแทนของลักษณะวัฒนธรรม ภาษาเป็นสื่อสำคัญที่สืบทอดวัฒนธรรมดั้งเดิมจากคนรุ่นหนึ่งไปสู่รุ่นต่อ ๆ ไป กลุ่มวัฒนธรรมต่าง ๆ มักมีภาษาของตนเอง จึงใช้ภาษาเป็นเครื่องวัดความแตกต่างของวัฒนธรรมได้ ภาษาจึงอาจเป็นเครื่องมือในการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ เช่น การห้ามใช้ภาษาต่างประเทศ เป็นวิธีที่จะให้ประชาชนหันมาสนใจและรักประเทศของตน ภูมิใจในชาติของตน รวมทั้งรักเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมของตนยิ่งขึ้น
2. ศาสนา ศาสนาเป็นส่วนสำคัญของวัฒนธรรม ความเชื่อถือยึดมั่นและการปฏิบัติตามหลักของศาสนาเป็นหลักที่กำหนดวิถีชีวิตในท้องถิ่น สถานที่และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทางศาสนาอาจทำให้ท้องถิ่นหนึ่งมีความสำคัญมากกว่าท้องถิ่นอื่น วัด โบสถ์ และสิ่งก่อสร้างต่าง ๆทางศาสนา จะมีรูปแบบสถาปัตยกรรมที่แตกต่างกัน แสดงความเป็นเอกลักษณ์ของชาตินั้น ๆศาสนาอาจมีอิทธิพลต่อการเกษตรกรรม การบริโภคอาหาร ตลอดจนด้านเศรษฐกิจ
3. การเมือง อิทธิพลทางการเมืองมีผลต่อพื้นที่ตั้งถิ่นฐาน โดยเฉพาะกฎหมายเกี่ยวกับที่ดินทำกิน เช่น กฎหมายปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม กฎหมายเกี่ยวกับการประกาศเขตอุทยานแห่งชาติ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า พระราชกำหนดยกเลิกสัมปทานป่าไม้ เป็นต้น
ค. ปัจจัยทางเศรษฐกิจ
การประกอบอาชีพของมนุษย์ขึ้นอยู่กับอิทธิพลของสภาพแวดล้อมและระดับความเจริญทางเทคโนโลยี ตัวอย่างของวิวัฒนาการการประกอบอาชีพที่มีความสัมพันธ์กับการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ ได้แก่
1. การเพาะปลูก การตั้งถิ่นฐานของมนุษย์แบบถาวรเริ่มขึ้นเมื่อมนุษย์รู้จักเพาะปลูกด้วยตนเอง โดยไม่ต้องพึ่งผลิตผลตามธรรมชาติแต่เพียงอย่างเดียว และการตั้งถิ่นฐานแบบถาวนี้ มีบทบาทในการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมมาก ตัวอย่างเช่น การทำไร่เลื่อนลอย เป็นการเพาะปลูกแบบไม่บำรุงดิน เมื่อดำเนินไปหลายปีจะทำให้ดินเสื่อมสภาพลง และต้องย้ายไปหาที่เพาะปลูกใหม่หมุนเวียนไปเรื่อย ๆ เป็นการทำลายป่าและความอุดมสมบูรณ์ของดิน ส่วนการเพาะปลูกแบบไร่นาสวนผสมจะมีการดูแลบำรุงดินที่ดีกว่า ทำให้สามารถคงความอุดมสมบูรณ์ของดินไว้ได้
2. การเลี้ยงสัตว์ แบ่งเป็น ๓ ประเภทคือ การเลี้ยงสัตว์ไว้บริโภค ไว้ใช้งาน และไว้ขาย ส่วนใหญ่จะทำในพื้นที่ที่ไม่เหมาะสมต่อการเพาะปลูก การเลี้ยงสัตว์แบบอยู่เป็นที่จะไม่ทำลายทรัพยากรธรรมชาติมากเท่ากับการเลี้ยงสัตว์แบบเร่ร่อน
3. อุตสาหกรรม เป็นการนำผลิตผลมาดัดแปลงหรือแปรสภาพให้เหมาะสมกับการใช้ประโยชน์ เป็นกิจกรรมที่มีลักษณะซับซ้อน ในเนื้อที่น้อย ต้องใช้วัตถุดิบและเชื้อเพลิงจำนวนมากในการผลิต มีการใช้แรงงาน ตลอดจนต้องการความสะดวกในการคมนาคมขนส่ง ไม่ว่าจะเป็นการนำวัตถุดิบเข้าสู่โรงงานและผลิตผลจากโรงงานออกสู่ตลาด ทำให้เกิดการรวมกลุ่มคนจำนวนมาก ลักษณะดังกล่าวนี้ทำให้เกิดชุมชนขึ้นและมีการขยายตัวทั้งชุมชนและโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งย่อมจะมีผลต่อการเติบโตของเมืองอย่างกว้างขวาง
ความสัมพันธ์ของการตั้งถิ่นฐานกับสภาพแวดล้อม
เมื่อมนุษย์มีความสัมพันธ์กันและเกี่ยวข้องซึ่งกันและกัน มนุษย์จะรวมตัวกันอยู่เป็นกลุ่ม สร้างบ้านเรือนแหล่งที่อยู่อาศัย ทำไร่ทำนา เลี้ยงสัตว์ มีกิจกรรมร่วมกัน และมีการพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน เมื่อเลือกสถานที่ที่จะตั้งถิ่นฐานที่อยู่อาศัยแล้ว มนุษย์ก็เริ่มจัดการกับสิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบ ๆ ตัว เพื่อให้เกิดความเหมาะสมในการดำรงชีพ สิ่งแวดล้อมดังกล่าวสามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ
1. สิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ ได้แก่ อากาศ แม่น้ำ ลำคลอง ทะเลสาบ มหาสมุทร พื้นดิน แร่ธาตุ ภูเขา ป่าไม้ และสัตว์ป่า เป็นต้น
2. สิ่งแวดล้อมที่มนุษย์สร้างขึ้น ได้แก่ บ้านเรือน โรงเรียน ถนน รถยนต์ เขื่อนกักเก็บน้ำ เป็นต้น รวมตลอดถึงขนบธรรมเนียมประเพณี วัฒนธรรม ระบบเศรษฐกิจและสังคมด้วย
สิ่งแวดล้อมเหล่านี้ประกอบกันขึ้นเป็นถิ่นฐานมนุษย์ โดยมีขนบธรรมเนียม ประเพณีระบบเศรษฐกิจและสังคมที่มนุษย์สร้างขึ้น และข้อจำกัดทางธรรมชาติเป็นกฎเกณฑ์ และเป็นหลักสำหรับการอยู่ร่วมกัน เพื่อให้การดำรงชีวิตเป็นไปอย่างผาสุก และให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี
มนุษย์เป็นส่วนประกอบที่สำคัญของสิ่งแวดล้อม ดังนั้น การตั้งถิ่นฐานของมนุษย์จึงมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ต่อความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตกับสิ่งแวดล้อมที่เราเรียกกันว่าระบบนิเวศ ผลกระทบนั้นเป็นไปได้ทั้งในทางทำให้สิ่งแวดล้อมดีขึ้น หรือในทางทำลายให้เลวลง แต่ถ้าเราไม่มีการวางแผนเกี่ยวกับการตั้งถิ่นฐานแล้ว ย่อมทำให้สิ่งแวดล้อมเปลี่ยนแปลงไปในทางที่เสื่อมลง การตั้งถิ่นฐานที่ขาดการควบคุมย่อมก่อให้เกิดความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อม นอกจากนั้นความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาการและเทคโนโลยี ก็เป็นปัจจัยอีกตัวหนึ่งที่ทำให้สิ่งแวดล้อมเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วจากการที่เรามุ่งพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศขยายการก่อสร้างปัจจัยพื้น ฐาน เช่น ถนน เขื่อนสนามบิน ท่าเรือ เป็นต้น การที่เราเร่งผลิตสินค้าและบริการให้ทันกับความต้องการของถิ่นฐานที่ขยายใหญ่ขึ้น เหล่านี้ทำให้มีการใช้ทรัพยากรธรรมชาติเป็นจำนวนมาก จากกระบวนการพัฒนาและการผลิตนี้เอง ทำให้มีของเสียเหลือทิ้งออกมาในรูปต่าง ๆ เจือปนอยู่ในสิ่งแวดล้อม ซึ่งทำให้ความสมดุลของธรรมชาติเสียไป
เมื่อสิ่งแวดล้อมถูกทำลายและมีของเสียปะปนอยู่เป็นจำนวนมาก สิ่งแวดล้อมก็จะอยู่ในสภาพเสื่อมโทรมและอาจจะรุนแรงถึงขั้นเป็นพิษเป็นภัยได้ การที่สิ่งแวดล้อมเสื่อมโทรมและเป็นพิษ จะมีผลโดยตรงต่อสุขภาพและอนามัยของมนุษย์ อีกทั้งการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างไม่หยุดยั้งและไม่ระมัดระวัง จะทำให้ทรัพยากรธรรมชาติสูญสิ้นอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม ความเสื่อมโทรมของสิ่งแวดล้อมในปัจจุบันนี้มิได้เกิดขึ้นเฉพาะกับสิ่งแวดล้อมตามธรรมชาติเท่านั้น แต่ยังมีปัญหาสิ่งแวดล้อมที่อยู่ในรูปปัญหาทางสังคมอีก ซึ่งเป็นหน้าที่ของสมาชิกทุกคนที่ตั้งถิ่นฐานอยู่จะต้องช่วยกันอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมให้อยู่ในสภาพที่ดี มีคุณภาพเพื่อจะได้ใช้ประโยชน์จากสิ่งแวดล้อมที่ดีต่อไปในวันข้างหน้า
สารานุกรมไทยสำหรับเยาวชนฯ เล่มที่ 17
วันศุกร์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2554
วันศุกร์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2554
เก็บเธอไว้ในจินตนาการ- ฟองเบียร์
ทบทวนตัวเองอยู่นาน กับอารมณ์ที่เป็นอยู่
กลัวเธอจะรู้ ว่าใครคนหนึ่งมันคิดมากไป
รู้สึกแปลก ถ้าจะเดินไปบอกเธอคงสงสัย
แต่มันอึดอัดในใจ จะคลั่งตาย
แค่คนคนหนึ่ง ควบคุมตัวเองไม่ได้
กฏเกณฑ์หัวใจ วันนี้ไม่มีเหลือ
อยากบอกว่ารัก พูดไปเธอคงไม่เชื่อ
ต้องเงียบไปได้แต่เงียบไป
เก็บเธอไว้ในจินตนาการ เก็บความหวานไว้ในหัวใจ
ไม่อยากให้เธอรู้ว่าฉันมันคิดกับเธอขนาดไหน
ปล่อยเธอไว้ในจินตนาการ ให้ความหวานมันนองในหัวใจ
ไม่อยากให้เธอรู้ กลัวเธอรู้ทุกอย่างจะเปลี่ยนไป
ความลับในวันนี้ มีแต่ฟ้าที่รู้ มีแต่ดาวที่รู้
แต่เธอคนนั้นเธอคนนั้นยังไม่รู้
เก็บเธอไว้ในจินตนาการ เก็บความหวานไว้ในหัวใจ
ไม่อยากให้เธอรู้ว่าฉันนั้นคิดกับเธอแค่ไหน
ปล่อยเธอไว้ในจินตนาการ ให้ความหวานมันนองในหัวใจ
ไม่อยากให้เธอรู้ กลัวเธอรู้ทุกอย่างจะเปลี่ยนไป
เก็บเธอไว้ในจินตนาการ เก็บความหวานไว้ในหัวใจ
ไม่อยากให้เธอรู้ว่าฉันมันคิดกับเธอขนาดไหน
ปล่อยเธอไว้ในจินตนาการ ให้ความหวานมันนองในหัวใจ
ไม่อยากให้เธอรู้ กลัวเธอรู้ทุกอย่างจะเปลี่ยนไป
ทบทวนตัวเองอยู่นาน กับอารมณ์ที่เป็นอยู่
กลัวเธอจะรู้ ว่าใครคนหนึ่งมันคิดมากไป
รู้สึกแปลก ถ้าจะเดินไปบอกเธอคงสงสัย
แต่มันอึดอัดในใจ จะคลั่งตาย
แค่คนคนหนึ่ง ควบคุมตัวเองไม่ได้
กฏเกณฑ์หัวใจ วันนี้ไม่มีเหลือ
อยากบอกว่ารัก พูดไปเธอคงไม่เชื่อ
ต้องเงียบไปได้แต่เงียบไป
เก็บเธอไว้ในจินตนาการ เก็บความหวานไว้ในหัวใจ
ไม่อยากให้เธอรู้ว่าฉันมันคิดกับเธอขนาดไหน
ปล่อยเธอไว้ในจินตนาการ ให้ความหวานมันนองในหัวใจ
ไม่อยากให้เธอรู้ กลัวเธอรู้ทุกอย่างจะเปลี่ยนไป
ความลับในวันนี้ มีแต่ฟ้าที่รู้ มีแต่ดาวที่รู้
แต่เธอคนนั้นเธอคนนั้นยังไม่รู้
เก็บเธอไว้ในจินตนาการ เก็บความหวานไว้ในหัวใจ
ไม่อยากให้เธอรู้ว่าฉันนั้นคิดกับเธอแค่ไหน
ปล่อยเธอไว้ในจินตนาการ ให้ความหวานมันนองในหัวใจ
ไม่อยากให้เธอรู้ กลัวเธอรู้ทุกอย่างจะเปลี่ยนไป
เก็บเธอไว้ในจินตนาการ เก็บความหวานไว้ในหัวใจ
ไม่อยากให้เธอรู้ว่าฉันมันคิดกับเธอขนาดไหน
ปล่อยเธอไว้ในจินตนาการ ให้ความหวานมันนองในหัวใจ
ไม่อยากให้เธอรู้ กลัวเธอรู้ทุกอย่างจะเปลี่ยนไป
วันจันทร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2554
เพลง : เก็บไว้ให้เธอ
ศิลปิน : เจี๊ยบ วรรธนา
ลมที่โชยพัด ต้นหญ้าใบไม้ปลิว
ศิลปิน : เจี๊ยบ วรรธนา
ลมที่โชยพัด ต้นหญ้าใบไม้ปลิว
แดดที่อ่อนใส หอมกลิ่นของวันใหม่
เมฆน้อยๆ ยังลอยเป็นนิทานบนฟ้าไกล
อยากให้เธอได้มาอยู่ตรงนี้จัง
หยาดฝนที่ทอสาย พร่างพรมสู่พื้นดิน
ใบไม้แตกกิ่งใบ มาสู่โลกใบใหม่
เด็กน้อยๆ ยังคงมีฝันลอยไปกว้างไกล
อยากให้เธอได้มาอยู่ตรงนี้จัง
เมื่อไหร่ ที่เธอรู้สึกท้อในใจ
เมื่อไหร่ที่เธอสับสน
อยากให้รู้ว่ายังมี ตัวฉันอีกคน
กับโลกที่งดงามหนึ่งใบ เก็บเอาไว้ให้เธอมาพักใจ
เธอจะอยู่ไหนใกล้ไกลสักเท่าไหร่
หากเหงาให้จำไว้ ว่าเธอนั้นมีใคร
ที่เก็บความสวยงาม รอให้เธอมาชื่นชม
เก็บเอาไว้ให้เธอมาพักใจ
เมื่อไหร่ ที่เธอรู้สึกท้อในใจ
เมื่อไหร่ที่เธอสับสน
อยากให้รู้ว่ายังมี ตัวฉันอีกคน
กับโลกที่งดงามหนึ่งใบ เก็บเอาไว้ให้เธอมาพักใจ
เธอจะอยู่ไหนใกล้ไกลสักเท่าไหร่
หากเหงาให้จำไว้ ว่าเธอนั้นมีใคร
ที่เก็บความสวยงาม รอให้เธอมาชื่นชม
เก็บเอาไว้ให้เธอมาพักใจ
หากอ่อนล้าเมื่อวันใด กลับมา
วันพฤหัสบดีที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2554
ความสามารถในการลุกขึ้นเอง
มีปัจจัยหลายๆอย่างบีบให้คนเมืองถูกโดดเดี่ยวมากขึ้น
โอกาสที่คุณจะเกิดกำลังใจเหมือนน้อยลง
แต่โอกาสที่คุณจะโดนผลักให้ล้มหรือโดนเหยียบซ้ำมีมากขึ้น
ผู้คนคล้ายสะใจกับการทำตัวบั่นทอนกำลังใจกันและกัน
เพื่อนได้ดีก็ริษยา ศัตรูพลาดท่าก็ขุดดินฝังกันเลย
โอกาสที่คุณจะเกิดกำลังใจเหมือนน้อยลง
แต่โอกาสที่คุณจะโดนผลักให้ล้มหรือโดนเหยียบซ้ำมีมากขึ้น
ผู้คนคล้ายสะใจกับการทำตัวบั่นทอนกำลังใจกันและกัน
เพื่อนได้ดีก็ริษยา ศัตรูพลาดท่าก็ขุดดินฝังกันเลย
วิธีโตขึ้นมากับวิธีทำงานร่วมกันในองค์กรของโลกยุคเรา
น่าจะมีอะไรผิดพลาดสักอย่างหรือหลายๆอย่าง
เพราะเหมือนชีวิตจะได้ในสิ่งที่ไม่ต้องการ
เช่น ความเกลียด ความจองเวร และการทิ่มแทง
แต่ไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการ
เช่น ความรัก ความผูกพัน และกำลังใจ
น่าจะมีอะไรผิดพลาดสักอย่างหรือหลายๆอย่าง
เพราะเหมือนชีวิตจะได้ในสิ่งที่ไม่ต้องการ
เช่น ความเกลียด ความจองเวร และการทิ่มแทง
แต่ไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการ
เช่น ความรัก ความผูกพัน และกำลังใจ
พระพุทธเจ้าเคยตรัสให้คิดว่า
ชีวิตเปรียบเหมือนช้างศึกเข้าสมรภูมิ
ต้องทนหอกดาบและศาสตราที่ทิ่มแทงมา
กับทั้งเดินหน้าต่อไปให้ได้
ยุคเราสมัยเราก็ดูจะเต็มไปด้วยสงครามสารพัดชนิด
ทั้งสงครามแบบที่รบกันด้วยปืน
และทั้งสงครามแบบที่เฉาะกันด้วยปาก
ไม่มีประเทศไหนหรือบุคคลใดยอมให้ผู้อื่นเป็นสุขสงบกัน
ฉะนั้น จึงเป็นธรรมดาที่พวกเราอาจหดหู่ได้บ่อยๆ
มองไปทางไหนเหมือนไร้กำลังใจ
หาใครเป็นพวกอย่างยั่งยืนแท้จริงไม่เจอ
ชีวิตเปรียบเหมือนช้างศึกเข้าสมรภูมิ
ต้องทนหอกดาบและศาสตราที่ทิ่มแทงมา
กับทั้งเดินหน้าต่อไปให้ได้
ยุคเราสมัยเราก็ดูจะเต็มไปด้วยสงครามสารพัดชนิด
ทั้งสงครามแบบที่รบกันด้วยปืน
และทั้งสงครามแบบที่เฉาะกันด้วยปาก
ไม่มีประเทศไหนหรือบุคคลใดยอมให้ผู้อื่นเป็นสุขสงบกัน
ฉะนั้น จึงเป็นธรรมดาที่พวกเราอาจหดหู่ได้บ่อยๆ
มองไปทางไหนเหมือนไร้กำลังใจ
หาใครเป็นพวกอย่างยั่งยืนแท้จริงไม่เจอ
ในช่วงเวลาท้อแท้
ตัวคุณจะหนักจนหาใครในโลกแข็งแรงพอจะฉุดให้ลุกขึ้นมาไม่ได้
ทางเดียวคือคุณต้องออกแรงลุกขึ้นมาเอง!
ตัวคุณจะหนักจนหาใครในโลกแข็งแรงพอจะฉุดให้ลุกขึ้นมาไม่ได้
ทางเดียวคือคุณต้องออกแรงลุกขึ้นมาเอง!
จุดตั้งต้นที่จะก่อให้เกิดความอยากช่วยเหลือตัวเอง
เป็นกำลังให้ตัวเอง
บางทีก็เกิดจากการสังสรรค์สมาคมกับหมู่คน
ที่พร้อมจะช่วยกันผลักดันกันไปในทางดี
โลกยุคเรามีเขตดีบนอินเตอร์เน็ตอยู่มาก
แต่แปลกที่คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยชอบเข้าไปทำความคุ้นเคยด้วย
และยอมเอาเวลาในชีวิตไปทิ้งให้เขตอื่นที่ "น่าสนุกกว่า"
เขตที่เต็มไปด้วยถ้อยคำผรุสวาท ทิ่มแทง ถลกเนื้อเถือหนังกัน
ถ้านึกเป็นมโนนิมิตแล้ว เทียบไปก็คงคล้ายคนป่ามีมากขึ้น
และแพร่เชื้อร้ายต่อๆกันไปมากขึ้น
เป็นกำลังให้ตัวเอง
บางทีก็เกิดจากการสังสรรค์สมาคมกับหมู่คน
ที่พร้อมจะช่วยกันผลักดันกันไปในทางดี
โลกยุคเรามีเขตดีบนอินเตอร์เน็ตอยู่มาก
แต่แปลกที่คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยชอบเข้าไปทำความคุ้นเคยด้วย
และยอมเอาเวลาในชีวิตไปทิ้งให้เขตอื่นที่ "น่าสนุกกว่า"
เขตที่เต็มไปด้วยถ้อยคำผรุสวาท ทิ่มแทง ถลกเนื้อเถือหนังกัน
ถ้านึกเป็นมโนนิมิตแล้ว เทียบไปก็คงคล้ายคนป่ามีมากขึ้น
และแพร่เชื้อร้ายต่อๆกันไปมากขึ้น
ผมเคยเห็นบางคนสลดหดหู่กับชีวิต
แล้วพยายามแก้ความหดหู่ด้วยการเข้าไปรุมด่านักการเมือง
หรือด่าใครที่ดูสูงส่ง ด้วยความเชื่อในชั่วขณะนั้น
ว่าจะบรรเทาอาการเจ็บปวดหัวใจของตัวเองลงได้บ้าง
ดึงใครให้มาเป็นทุกข์ร่วมกับตนได้บ้าง
ซึ่งก็อาจจะจริงสักสองสามชั่วโมงที่ได้อยู่ตรงนั้น
แต่หลังจากนั้นล่ะ?
จิตที่เต็มไปด้วยมหาอกุศลธรรมทิ้งอะไรไว้เป็นประโยชน์ก็เปล่า
ตรงข้าม กลับจะสร้างรอยช้ำให้กับจิตขยายวงกว้างขึ้นไปอีก
แล้วพยายามแก้ความหดหู่ด้วยการเข้าไปรุมด่านักการเมือง
หรือด่าใครที่ดูสูงส่ง ด้วยความเชื่อในชั่วขณะนั้น
ว่าจะบรรเทาอาการเจ็บปวดหัวใจของตัวเองลงได้บ้าง
ดึงใครให้มาเป็นทุกข์ร่วมกับตนได้บ้าง
ซึ่งก็อาจจะจริงสักสองสามชั่วโมงที่ได้อยู่ตรงนั้น
แต่หลังจากนั้นล่ะ?
จิตที่เต็มไปด้วยมหาอกุศลธรรมทิ้งอะไรไว้เป็นประโยชน์ก็เปล่า
ตรงข้าม กลับจะสร้างรอยช้ำให้กับจิตขยายวงกว้างขึ้นไปอีก
ทางที่ถูกที่ควร ที่แก้ความหดหู่ได้จริง
ก็คือวิ่งเข้าหากุศล วิ่งเข้าหาสิ่งที่เป็นมงคล
เพื่อรับพลังในทางดี และความสุกสว่างในทางบวก
ถ้าต้องคุยกับใคร ให้เลือกว่าเขาอยู่ในเขตเย็น
ถ้าต้องการกำลังใจจากใคร ให้เลือกว่าเขาอยู่ในแดนสว่าง
ไม่เช่นนั้นคุณจะได้แต่ทำในสิ่งที่ผิดพลาด
เหยียบย่ำตนเองให้จมลึกลงไปเรื่อยๆ
ก็คือวิ่งเข้าหากุศล วิ่งเข้าหาสิ่งที่เป็นมงคล
เพื่อรับพลังในทางดี และความสุกสว่างในทางบวก
ถ้าต้องคุยกับใคร ให้เลือกว่าเขาอยู่ในเขตเย็น
ถ้าต้องการกำลังใจจากใคร ให้เลือกว่าเขาอยู่ในแดนสว่าง
ไม่เช่นนั้นคุณจะได้แต่ทำในสิ่งที่ผิดพลาด
เหยียบย่ำตนเองให้จมลึกลงไปเรื่อยๆ
และเมื่อเจอใครที่ให้กำลังใจคุณได้
ก็อย่าเข้าใจว่าเขาจะอยากอุ้มคุณขึ้นแบก
ขอให้นึกถึงอกเขาอกเรา
จะมีใครถูกออกแบบมาให้แบกคนอื่น
ชีวิตคนเจออะไรกระหน่ำให้เดินตุปัดตุเป๋กันทั้งนั้น
คุณหวังเจอคนมีน้ำใจได้
แต่เอาน้ำใจของเขาหรือพวกเขามากินให้เกิดแรง
ไม่ใช่คิดใช้น้ำมาทำปั้นจั่นยกตัวเราขึ้นมา
ระลึกไว้ว่าไม่มีน้ำใจใครแข็งแรงขนาดนั้นได้
ก็อย่าเข้าใจว่าเขาจะอยากอุ้มคุณขึ้นแบก
ขอให้นึกถึงอกเขาอกเรา
จะมีใครถูกออกแบบมาให้แบกคนอื่น
ชีวิตคนเจออะไรกระหน่ำให้เดินตุปัดตุเป๋กันทั้งนั้น
คุณหวังเจอคนมีน้ำใจได้
แต่เอาน้ำใจของเขาหรือพวกเขามากินให้เกิดแรง
ไม่ใช่คิดใช้น้ำมาทำปั้นจั่นยกตัวเราขึ้นมา
ระลึกไว้ว่าไม่มีน้ำใจใครแข็งแรงขนาดนั้นได้
ความอยากหายเศร้าเร็ว
อยากกลับมีกำลังขึ้นใหม่ให้ได้เร็วๆ
ก็มีฤทธิ์ในทางตรงข้ามได้
เพราะความอยากจะกดดันให้เหนื่อยใจ
ทั้งหมดที่ควรทำคือตั้งความหวังว่า "เราจะออกแรง" เท่านั้นพอ
เพราะตามธรรมชาติแล้ว พอ "ออกแรง" ปุ๊บ
เราจะรู้สึกถึงกำลัง จะรู้ว่าความชุ่มชื่นแห่งการยืนขึ้นใหม่
มันมีหน้าตาเป็นอย่างนี้เอง
ยิ่งถ้ายังออกแรงก้าวต่อไปอีก
ไม่ยอมตัวให้กับความคิดหดหู่อยากยอมแพ้อีก
ก็จะยิ่งสัมผัสถึงกำลังว่ามีมากพอจะไม่ล้มลงไปในเร็วๆนี้แน่
อยากกลับมีกำลังขึ้นใหม่ให้ได้เร็วๆ
ก็มีฤทธิ์ในทางตรงข้ามได้
เพราะความอยากจะกดดันให้เหนื่อยใจ
ทั้งหมดที่ควรทำคือตั้งความหวังว่า "เราจะออกแรง" เท่านั้นพอ
เพราะตามธรรมชาติแล้ว พอ "ออกแรง" ปุ๊บ
เราจะรู้สึกถึงกำลัง จะรู้ว่าความชุ่มชื่นแห่งการยืนขึ้นใหม่
มันมีหน้าตาเป็นอย่างนี้เอง
ยิ่งถ้ายังออกแรงก้าวต่อไปอีก
ไม่ยอมตัวให้กับความคิดหดหู่อยากยอมแพ้อีก
ก็จะยิ่งสัมผัสถึงกำลังว่ามีมากพอจะไม่ล้มลงไปในเร็วๆนี้แน่
ตอนหมดแรงจริงๆ และหาใครเป็นตัวช่วยไม่เจอ
แถมรู้สึกว่าเรี่ยวแรงจะกระดิกตัวยังไม่มี
ให้หวังที่พึ่งสุดท้าย
คือ "การตื่นนอนตอนเช้า" ครับ
การเลิกตื่นสาย หันมาตื่นเช้าคือการมาพร้อมพลังทางกาย
ซึ่งก็จะพลอยปลุกพลังทางใจให้เข้มแข็งขึ้นมาด้วย
ถ้าคิดตั้งใจตื่นเช้าในยามเหนื่อยอ่อนที่สุด
อย่างน้อยก็เป็นการโปรแกรมกายกับใจ
ให้พร้อมเข้าสู่ภาวะหลับที่สนิทและเป็นสุขขึ้นมาบ้าง
เลิกหมกมุ่นครุ่นคิดถึงแต่ภาวะแย่ๆรอบตัวเสียได้บ้าง
แถมรู้สึกว่าเรี่ยวแรงจะกระดิกตัวยังไม่มี
ให้หวังที่พึ่งสุดท้าย
คือ "การตื่นนอนตอนเช้า" ครับ
การเลิกตื่นสาย หันมาตื่นเช้าคือการมาพร้อมพลังทางกาย
ซึ่งก็จะพลอยปลุกพลังทางใจให้เข้มแข็งขึ้นมาด้วย
ถ้าคิดตั้งใจตื่นเช้าในยามเหนื่อยอ่อนที่สุด
อย่างน้อยก็เป็นการโปรแกรมกายกับใจ
ให้พร้อมเข้าสู่ภาวะหลับที่สนิทและเป็นสุขขึ้นมาบ้าง
เลิกหมกมุ่นครุ่นคิดถึงแต่ภาวะแย่ๆรอบตัวเสียได้บ้าง
และถ้าคุณพบว่าคำพูดของใครมีกำลังใจให้อยากลุกขึ้นใหม่ได้
ก็ให้ตระหนักว่าคำพูดมีความหมายอย่างสำคัญกับชีวิตเรานะครับ
แล้วคำพูดไหนล่ะที่เราได้ยินบ่อยที่สุด?
ก็คำพูดในหัวนั่นเอง
เราจึงต้องระวังความคิดในหัวที่เราใช้พูดกับตัวเองตลอดเวลาด้วย
เพราะนั่นแหละคือสิ่งกดดันที่แท้จริงให้เราจม
หรือเป็นแรงผลักดันยิ่งใหญ่ให้เราพ้น!
ก็ให้ตระหนักว่าคำพูดมีความหมายอย่างสำคัญกับชีวิตเรานะครับ
แล้วคำพูดไหนล่ะที่เราได้ยินบ่อยที่สุด?
ก็คำพูดในหัวนั่นเอง
เราจึงต้องระวังความคิดในหัวที่เราใช้พูดกับตัวเองตลอดเวลาด้วย
เพราะนั่นแหละคือสิ่งกดดันที่แท้จริงให้เราจม
หรือเป็นแรงผลักดันยิ่งใหญ่ให้เราพ้น!
อ้อ! ลุกจากที่นอนตอนเช้าต้องมีสติด้วยนะครับ
อย่าลุกด้วยอาการเซ็งเป็ดล่ะ
ถ้าการลุกครั้งแรกของวันคืออาการเซ็งเป็ด
คุณจะนึกถึงการลุกขึ้นใหม่ในชีวิตด้วยอาการอื่นไม่ออกหรอก
ยามหดหู่ ตัวเราจะหนักที่สุดก็ตอนอยู่บนที่นอนตอนเช้า
ถ้าลุกขึ้นด้วยความสดชื่นแล้วไม่อ้อยอิ่งต่อ
ก็กลายเป็นการเคลื่อนไหวที่เป็นทุนรอน
เพื่อเอาชนะความหนักทุกชนิดได้ไม่ยาก
อย่าลุกด้วยอาการเซ็งเป็ดล่ะ
ถ้าการลุกครั้งแรกของวันคืออาการเซ็งเป็ด
คุณจะนึกถึงการลุกขึ้นใหม่ในชีวิตด้วยอาการอื่นไม่ออกหรอก
ยามหดหู่ ตัวเราจะหนักที่สุดก็ตอนอยู่บนที่นอนตอนเช้า
ถ้าลุกขึ้นด้วยความสดชื่นแล้วไม่อ้อยอิ่งต่อ
ก็กลายเป็นการเคลื่อนไหวที่เป็นทุนรอน
เพื่อเอาชนะความหนักทุกชนิดได้ไม่ยาก
ที่มา : ดังตฤณ กันยายน ๕๔
วันพุธที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2554
ไม่ยอมแพ้แก่โชคชะตา โดย พระไพศาล วิสาโล
คุณ จะรู้สึกอย่างไร? หากทั้งชีวิตมีแต่เรื่องร้ายๆ หนักๆ ประดังประเดเข้ามา ตั้งแต่เกิดก็เกือบจมน้ำตาย โตขึ้นก็สูญเสียแม่ พ่อป่วยหนัก มีน้องๆ ต้องดูแลหลายคนทั้งๆ ที่ยังเรียนไม่จบ ครั้นแต่งงาน ก็มีลูกพิการ สุดท้ายสามีก็ทิ้ง แล้วยังมาเจอเนื้องอดที่มดลูก ผ่าตัดลำไส้เหลือแค่ครึ่งเดียว จากนั้นก็ถูกรถชน กระดูกคอหัก รอดตายแล้วก็ไปเจออุบัติเหตุรถยนต์อีก แขนหักสองท่อน และตับแตก อายุไม่ถึง ๕๐ แต่กระดูกผุราวคน ๘๐ แล้วยังไม่รู้ว่าจะเจออุบัติเหตุอีกกี่ครั้ง เจอแบบนี้แล้ว คุณยังคิดอยากอยู่อยากยิ้มให้กับชีวิตนี้อีกหรือ ?
แต่ สำหรับ คุณเกษมสุข ภมรสถิตย์ ชีวิตนี้ไม่เคยเลวร้ายเกินทน เธอยังยิ้มให้กับชีวิตได้เสมอ ไม่รู้สึกท้อแท้สิ้นหวังหรือหวั่นหวาดอนาคต เพราะมั่นใจว่าพรุ่งนี้ย่อมดีกว่าวันนี้
พูดอย่าง คนโบราณ ชีวิตของเธอเหมือนกับเกิดมาเพื่อรับกรรม ลืมตาดูโลกได้ไม่ถึง ๒ เดือนพี่เลี้ยงก็ทำหลุดมือตกน้ำ เกือบจะหลุดเข้าไปใต้โป๊ะท่าน้ำ แต่เดชะบุญมีคนคว้าไว้ได้ทัน ทั้งน้ำและน้ำมันเข้าปาก พออายุได้ ๘ ขวบก็จมน้ำอีก ผุดทะลึ่งขึ้นมาครั้งที่ ๓ พ่อถึงเห็นและเกี่ยวขึ้นมาได้ทัน จมน้ำปางตาย ๒ ครั้งทำให้ร่างกายอ่อนแอ เจอแดดร้อนๆ ไม่ได้ มีอันต้องเป็นลม ร้องไห้ประเดี๋ยวเดียวก็เป็นลมสลบ จนใครๆ หาว่าสำออย
เรียน มหาวิทยาลัยแค่ปี ๒ แม่ก็เสีย พ่อทำใจไม่ได้ ช็อคหัวใจวาย กลายเป็นคนป่วยนับแต่นั้น ไม่นานบ้านก็ถูกยึดเพราะเป็นหนี้ อายุแค่ ๑๙ ปีเธอกลายเป็นกำลังหลักคนเดียวของครอบครัวที่ต้องหาเงินมาเลี้ยงพ่อและน้องๆ ทั้ง ๕ คนไม่ได้หดหู่ท้อใจในชะตากรรม เป็นความรู้สึกของเธอในตอนนั้น โดยหารู้ไม่ว่าเคราะห์กรรมยังจะตามมาอีกมาก เธอแต่งงานก่อนวัย เบญจเพส เมื่อคลอดลูกก็พบว่าลูกพิการ เพราะหมอใช้คีมคีบหัวออกมาอย่างไม่ถูกต้อง สมองจึงเติบโตได้ไม่เต็มที่ หมอทำนายว่าจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างมาก ๙ ปี แต่เธอก็เลี้ยงดูเอาใจใส่จนลูกอายุ ๒๐ กว่าแล้ว คลอดลูกมาได้ปีกว่า ก็พบว่าเป็นเนื้องอกที่มดลูก ปรากฏว่าหมอตัดส่วนที่ดีทิ้งไป จึงต้องเข้าโรงพยาบาลอีกครั้ง คราวนี้มดลูกที่เหลือถูกตัดทิ้งหมดรวมทั้งรังไข่ด้วย ทำให้ร่างกายขาดฮอร์โมน ครั้นกินฮอร์โมนทดแทน ก็แพ้ เลยเป็นโรคกระดูกผุนับแต่บัดนั้น เท่านั้นยังไม่พอ ระหว่างผ่าตัด โรคกระเพาะเกิดกำเริบ จนตัวบวมเขียว หมอต้องเปิดท้องตัดลำไส้จนเหลือเพียงครึ่งเดียว
อายุไม่ถึง ๒๖ เธอก็มีอวัยวะไม่ครบเหมือนคนปกติ แถมมีลูกพิการที่เสี่ยงต่อความตาย แม้เธอจะรักษาชีวิตของตนและของลูกได้ แต่แล้วก็ต้องสูญเสียเสียสามี ชีวิตครอบครัวที่มีแต่ปัญหาทำให้เธอกับเขาตัดสินใจแยกทางกัน เจออย่างนี้แล้วเธอยังทำใจได้ ไม่คิดโทษใคร หรือน้อยใจในชีวิต
เคราะห์ กรรมยังซ้ำเติมไม่จบ ราวกับจะทดสอบจิตใจของเธอ วันหนึ่งขณะที่รถติดไฟแดง ก็มีรถเมล์เบรกแตกวิ่งมาชนรถของเธอ แรงกระแทกทำให้กระดูกคอของเธอซึ่งผุอยู่แล้วหักทันที และไปทับเส้นประสาททำให้เป็นอัมพาต เดชะบุญที่สามารถรักษาให้หายได้หลังจากนอนแน่นิ่งในโรงพยาบาลเกือบ ๒ เดือน หลังจากครั้งนั้นแล้ว ก็เจออุบัติเหตุอีก รถของเธอเลี้ยวโค้งแล้วไปชนกับเสาไฟฟ้า กระดูกที่แขนของเธอหักออกจากกัน ห้อยร่องแร่ง แถมยังถูกก้านเกียร์ทิ่มใต้ชายโครงขณะช่วยคนขับหักพวงมาลัยหลบคอสะพาน ผลก็คือตับแตก
เธอยังต้องเจออุบัติเหตุอีกหลายครั้ง แม้แต่วันที่ไปออกรายการ "เจาะใจ" ก็ยังมีรถยนต์มาชนท้าย กระเทือนที่คอและหลัง แต่เธอก็ยังบอกว่าไม่เป็นไร ทนได้ ต่อเมื่อถ่ายทำรายการเสร็จแล้ว จึงไปให้หมอตรวจและรักษาที่โรงพยาบาล
วันนี้เธออายุ ๕๒ และไม่รู้ว่าจะเจออะไรข้างหน้าอีก แต่เธอก็ยังมีขวัญและกำลังใจในการดำเนินชีวิต
คง มีไม่กี่คนในโลกนี้ที่เจอเคราะห์ซ้ำกรรมซัดไม่หยุดหย่อนอย่างคุณเกษมสุข ยกเว้นคนที่เจอภัยสงครามหรืออดอยากหิวโหยปางตายแล้ว จะมีสักกี่คนที่ลำบากลำเค็ญเท่าเธอ
แต่แปลกไหมที่เธอไม่รู้สึกเป็นทุกข์เป็นร้อนกับชีวิตที่เต็มไปด้วยเคราะห์กรรมเลย ถ้าชะตากรรมมีจริง เธอเป็นคนหนึ่งที่ย้ำเตือนว่าเราสามารถเอาชนะชะตากรรมได้ ไม่ได้ชนะที่ไหน หากชนะที่ใจนั่นเอง
ชีวิต ของเธอบอกให้เรารู้ว่า คนเราจะทุกข์หรือไม่ ไม่ได้อยู่ที่ว่ามีอะไรมากระทบกับเรา แต่อยู่ตรงที่เรารู้สึกอย่างไรกับสิ่งนั้น หรือทำอย่างไรกับมันต่างหาก
แม้จะมีเรื่องร้ายๆ เกิดขึ้นกับเรา แต่ถ้าเราทำใจรับได้ ความทุกข์ก็เกิดขึ้นไม่ได้ ในทางตรงกันข้าม แม้มีเงินทองไหลมาเทมา แต่ถ้าเราคิดว่ามันน้อยเกินไป ทำให้รวยไม่พอหรือไม่เท่าคนอื่น เมื่อนั้นใจเราก็เป็นทุกข์ทันที
หลายครั้งที่ความเดือดร้อนของคุณ เกษมสุขเกิดขึ้นจากฝีมือคนอื่นแท้ๆ เช่น หมอที่ใช้คีมคีบหัวลูกแรงเกินไป ตัดมดลูกผิดข้าง แม้แต่รถจอดนิ่งอยู่ ก็ยังมีรถคนอื่นมาชน ข้างหน้าบ้าง ข้างหลังบ้าง
แต่เธอไม่เคยเสียเวลาไปโทษคนอื่น เล่นงานเขา หรือก่นด่าชะตากรรม หากคิดเพียงว่าจะแก้ปัญหาเฉพาะหน้าอย่างไร และรักษาใจให้เป็นปกติได้อย่างไร
ตอนที่นอนป่วยอยู่ในโรงพยาบาล เพราะกระดูกคอหัก หมอเอาเหล็กแหลมเจาะเข้าไปในกระโหลกทั้ง ๒ ข้างเพื่อป้องกันไม่ให้คอเขยื้อนขยับ เธอเจ็บมาก แต่เห็นว่าถ้าตนใจเสีย หมอและน้องๆ ก็ใจเสียไปด้วย เธอเลือกที่จะทำใจให้ปกติ ไม่ตีโพยตีพาย เพราะ "ถ้าต้นตอไม่ตีโพยตีพายเสียก่อน คนรอบข้างก็อยู่ได้ และกำลังใจนั้นมันก็จะถูกส่งกลับมาที่เราอีกที" ไปๆ มาๆ ปรากฏว่า คนป่วยกลับมีจิตใจสบายกว่าคนมาเยี่ยมเสียอีก จนกลายเป็นที่ปรับทุกข์ให้แก่คนรอบข้าง แต่เธอไม่ใช่พระอิฐพระปูน ฟังเรื่องพวกนี้มากๆ ก็ทุกข์ได้ง่ายๆ ทางออกของเธอก็คือ "จับ (คนมาเยี่ยม) นั่งสมาธิเสียเลย จะได้ไม่มีเวลาพูดเรื่องอะไรที่มันร้อนใจ"
กลายเป็นว่าคนป่วยกลับเป็นที่พึ่งทางจิตใจให้แก่คนปกติ แทนที่จะตรงกันข้าม
สิ่ง สำคัญที่ประคองใจไม่ให้ทุกข์ร้อนไปกับเหตุร้ายก็คือสติ สติอ่อนเมื่อไหร่ ใจก็จะโวยวายตีโพยตีพาย โทษคนโน้นคนนี้ จนลืมจัดการกับตนเอง ทั้งๆ ที่เป็นสิ่งที่ต้องทำก่อนอื่นใด
น้องๆ คุณเกษมสุขเล่าว่า ตอนเกิดอุบัติเหตุรถชนเสาไฟฟ้า คุณเกษมสุขโทรศัพท์บอกที่บ้านอย่างเรียบๆ ธรรมดาว่า "ไม่เป็นไร แต่คิดว่าตับแตก"
สติเท่านั้นที่จะทำให้เรื่องร้ายกลายเป็นเบา อย่างน้อยก็ไม่ทำให้เลวร้ายลงไปอีก ทั้งยังช่วยให้เราแก้ไขสถานการณ์ด้วยปัญญาอย่างสอดคล้องกับความเป็นจริง
ใคร ที่คิดว่าตัวเองทุกข์หนักหนาสาหัสแล้ว ลองนึกถึงชีวิตของคุณเกษมสุข อาจจะได้คิดว่าตนนั้นยังโชคดีอยู่มากเมื่อเทียบกับเธอ แต่เท่านั้นยังไม่พอ น่าจะได้คิดต่อไปอีกด้วยว่า สุขทุกข์นั้นแท้จริงอยู่ที่ใจ ไม่ได้อยู่ที่ว่าอะไรเกิดขึ้นกับเรา ถึงจนก็สุขได้ ถึงป่วยก็ยิ้มได้ แม้จะพลัดพรากสูญเสียแค่ไหน ก็ยังมีสิทธิแช่มชื่นแจ่มใสได้ แต่ถ้าทำใจไม่เป็นเสียแล้ว รวยแค่ไหน มีอำนาจมากเพียงใด ทรวดทรงงดงามเพียงใด ก็ยังทุกข์อยู่นั่นเอง
จะเจออะไรมาก็แล้วแต่ ข้อสำคัญประการสุดท้ายก็คือ อย่ายอมแพ้ต่อชะตากรรม อย่าปล่อยใจไปกับ ความลำเค็ญ ความล้มเหลว และความเศร้าโศกท้อแท้ ในยามร้ายไม่มีอะไรดีกว่าการปลุกใจให้อดทน เข้มแข็ง สดชื่น และเปี่ยมด้วยความหวังว่าพรุ่งนี้ย่อมดีกว่าวันนี้
คุณ จะรู้สึกอย่างไร? หากทั้งชีวิตมีแต่เรื่องร้ายๆ หนักๆ ประดังประเดเข้ามา ตั้งแต่เกิดก็เกือบจมน้ำตาย โตขึ้นก็สูญเสียแม่ พ่อป่วยหนัก มีน้องๆ ต้องดูแลหลายคนทั้งๆ ที่ยังเรียนไม่จบ ครั้นแต่งงาน ก็มีลูกพิการ สุดท้ายสามีก็ทิ้ง แล้วยังมาเจอเนื้องอดที่มดลูก ผ่าตัดลำไส้เหลือแค่ครึ่งเดียว จากนั้นก็ถูกรถชน กระดูกคอหัก รอดตายแล้วก็ไปเจออุบัติเหตุรถยนต์อีก แขนหักสองท่อน และตับแตก อายุไม่ถึง ๕๐ แต่กระดูกผุราวคน ๘๐ แล้วยังไม่รู้ว่าจะเจออุบัติเหตุอีกกี่ครั้ง เจอแบบนี้แล้ว คุณยังคิดอยากอยู่อยากยิ้มให้กับชีวิตนี้อีกหรือ ?
แต่ สำหรับ คุณเกษมสุข ภมรสถิตย์ ชีวิตนี้ไม่เคยเลวร้ายเกินทน เธอยังยิ้มให้กับชีวิตได้เสมอ ไม่รู้สึกท้อแท้สิ้นหวังหรือหวั่นหวาดอนาคต เพราะมั่นใจว่าพรุ่งนี้ย่อมดีกว่าวันนี้
พูดอย่าง คนโบราณ ชีวิตของเธอเหมือนกับเกิดมาเพื่อรับกรรม ลืมตาดูโลกได้ไม่ถึง ๒ เดือนพี่เลี้ยงก็ทำหลุดมือตกน้ำ เกือบจะหลุดเข้าไปใต้โป๊ะท่าน้ำ แต่เดชะบุญมีคนคว้าไว้ได้ทัน ทั้งน้ำและน้ำมันเข้าปาก พออายุได้ ๘ ขวบก็จมน้ำอีก ผุดทะลึ่งขึ้นมาครั้งที่ ๓ พ่อถึงเห็นและเกี่ยวขึ้นมาได้ทัน จมน้ำปางตาย ๒ ครั้งทำให้ร่างกายอ่อนแอ เจอแดดร้อนๆ ไม่ได้ มีอันต้องเป็นลม ร้องไห้ประเดี๋ยวเดียวก็เป็นลมสลบ จนใครๆ หาว่าสำออย
เรียน มหาวิทยาลัยแค่ปี ๒ แม่ก็เสีย พ่อทำใจไม่ได้ ช็อคหัวใจวาย กลายเป็นคนป่วยนับแต่นั้น ไม่นานบ้านก็ถูกยึดเพราะเป็นหนี้ อายุแค่ ๑๙ ปีเธอกลายเป็นกำลังหลักคนเดียวของครอบครัวที่ต้องหาเงินมาเลี้ยงพ่อและน้องๆ ทั้ง ๕ คนไม่ได้หดหู่ท้อใจในชะตากรรม เป็นความรู้สึกของเธอในตอนนั้น โดยหารู้ไม่ว่าเคราะห์กรรมยังจะตามมาอีกมาก เธอแต่งงานก่อนวัย เบญจเพส เมื่อคลอดลูกก็พบว่าลูกพิการ เพราะหมอใช้คีมคีบหัวออกมาอย่างไม่ถูกต้อง สมองจึงเติบโตได้ไม่เต็มที่ หมอทำนายว่าจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างมาก ๙ ปี แต่เธอก็เลี้ยงดูเอาใจใส่จนลูกอายุ ๒๐ กว่าแล้ว คลอดลูกมาได้ปีกว่า ก็พบว่าเป็นเนื้องอกที่มดลูก ปรากฏว่าหมอตัดส่วนที่ดีทิ้งไป จึงต้องเข้าโรงพยาบาลอีกครั้ง คราวนี้มดลูกที่เหลือถูกตัดทิ้งหมดรวมทั้งรังไข่ด้วย ทำให้ร่างกายขาดฮอร์โมน ครั้นกินฮอร์โมนทดแทน ก็แพ้ เลยเป็นโรคกระดูกผุนับแต่บัดนั้น เท่านั้นยังไม่พอ ระหว่างผ่าตัด โรคกระเพาะเกิดกำเริบ จนตัวบวมเขียว หมอต้องเปิดท้องตัดลำไส้จนเหลือเพียงครึ่งเดียว
อายุไม่ถึง ๒๖ เธอก็มีอวัยวะไม่ครบเหมือนคนปกติ แถมมีลูกพิการที่เสี่ยงต่อความตาย แม้เธอจะรักษาชีวิตของตนและของลูกได้ แต่แล้วก็ต้องสูญเสียเสียสามี ชีวิตครอบครัวที่มีแต่ปัญหาทำให้เธอกับเขาตัดสินใจแยกทางกัน เจออย่างนี้แล้วเธอยังทำใจได้ ไม่คิดโทษใคร หรือน้อยใจในชีวิต
เคราะห์ กรรมยังซ้ำเติมไม่จบ ราวกับจะทดสอบจิตใจของเธอ วันหนึ่งขณะที่รถติดไฟแดง ก็มีรถเมล์เบรกแตกวิ่งมาชนรถของเธอ แรงกระแทกทำให้กระดูกคอของเธอซึ่งผุอยู่แล้วหักทันที และไปทับเส้นประสาททำให้เป็นอัมพาต เดชะบุญที่สามารถรักษาให้หายได้หลังจากนอนแน่นิ่งในโรงพยาบาลเกือบ ๒ เดือน หลังจากครั้งนั้นแล้ว ก็เจออุบัติเหตุอีก รถของเธอเลี้ยวโค้งแล้วไปชนกับเสาไฟฟ้า กระดูกที่แขนของเธอหักออกจากกัน ห้อยร่องแร่ง แถมยังถูกก้านเกียร์ทิ่มใต้ชายโครงขณะช่วยคนขับหักพวงมาลัยหลบคอสะพาน ผลก็คือตับแตก
เธอยังต้องเจออุบัติเหตุอีกหลายครั้ง แม้แต่วันที่ไปออกรายการ "เจาะใจ" ก็ยังมีรถยนต์มาชนท้าย กระเทือนที่คอและหลัง แต่เธอก็ยังบอกว่าไม่เป็นไร ทนได้ ต่อเมื่อถ่ายทำรายการเสร็จแล้ว จึงไปให้หมอตรวจและรักษาที่โรงพยาบาล
วันนี้เธออายุ ๕๒ และไม่รู้ว่าจะเจออะไรข้างหน้าอีก แต่เธอก็ยังมีขวัญและกำลังใจในการดำเนินชีวิต
คง มีไม่กี่คนในโลกนี้ที่เจอเคราะห์ซ้ำกรรมซัดไม่หยุดหย่อนอย่างคุณเกษมสุข ยกเว้นคนที่เจอภัยสงครามหรืออดอยากหิวโหยปางตายแล้ว จะมีสักกี่คนที่ลำบากลำเค็ญเท่าเธอ
แต่แปลกไหมที่เธอไม่รู้สึกเป็นทุกข์เป็นร้อนกับชีวิตที่เต็มไปด้วยเคราะห์กรรมเลย ถ้าชะตากรรมมีจริง เธอเป็นคนหนึ่งที่ย้ำเตือนว่าเราสามารถเอาชนะชะตากรรมได้ ไม่ได้ชนะที่ไหน หากชนะที่ใจนั่นเอง
ชีวิต ของเธอบอกให้เรารู้ว่า คนเราจะทุกข์หรือไม่ ไม่ได้อยู่ที่ว่ามีอะไรมากระทบกับเรา แต่อยู่ตรงที่เรารู้สึกอย่างไรกับสิ่งนั้น หรือทำอย่างไรกับมันต่างหาก
แม้จะมีเรื่องร้ายๆ เกิดขึ้นกับเรา แต่ถ้าเราทำใจรับได้ ความทุกข์ก็เกิดขึ้นไม่ได้ ในทางตรงกันข้าม แม้มีเงินทองไหลมาเทมา แต่ถ้าเราคิดว่ามันน้อยเกินไป ทำให้รวยไม่พอหรือไม่เท่าคนอื่น เมื่อนั้นใจเราก็เป็นทุกข์ทันที
หลายครั้งที่ความเดือดร้อนของคุณ เกษมสุขเกิดขึ้นจากฝีมือคนอื่นแท้ๆ เช่น หมอที่ใช้คีมคีบหัวลูกแรงเกินไป ตัดมดลูกผิดข้าง แม้แต่รถจอดนิ่งอยู่ ก็ยังมีรถคนอื่นมาชน ข้างหน้าบ้าง ข้างหลังบ้าง
แต่เธอไม่เคยเสียเวลาไปโทษคนอื่น เล่นงานเขา หรือก่นด่าชะตากรรม หากคิดเพียงว่าจะแก้ปัญหาเฉพาะหน้าอย่างไร และรักษาใจให้เป็นปกติได้อย่างไร
ตอนที่นอนป่วยอยู่ในโรงพยาบาล เพราะกระดูกคอหัก หมอเอาเหล็กแหลมเจาะเข้าไปในกระโหลกทั้ง ๒ ข้างเพื่อป้องกันไม่ให้คอเขยื้อนขยับ เธอเจ็บมาก แต่เห็นว่าถ้าตนใจเสีย หมอและน้องๆ ก็ใจเสียไปด้วย เธอเลือกที่จะทำใจให้ปกติ ไม่ตีโพยตีพาย เพราะ "ถ้าต้นตอไม่ตีโพยตีพายเสียก่อน คนรอบข้างก็อยู่ได้ และกำลังใจนั้นมันก็จะถูกส่งกลับมาที่เราอีกที" ไปๆ มาๆ ปรากฏว่า คนป่วยกลับมีจิตใจสบายกว่าคนมาเยี่ยมเสียอีก จนกลายเป็นที่ปรับทุกข์ให้แก่คนรอบข้าง แต่เธอไม่ใช่พระอิฐพระปูน ฟังเรื่องพวกนี้มากๆ ก็ทุกข์ได้ง่ายๆ ทางออกของเธอก็คือ "จับ (คนมาเยี่ยม) นั่งสมาธิเสียเลย จะได้ไม่มีเวลาพูดเรื่องอะไรที่มันร้อนใจ"
กลายเป็นว่าคนป่วยกลับเป็นที่พึ่งทางจิตใจให้แก่คนปกติ แทนที่จะตรงกันข้าม
สิ่ง สำคัญที่ประคองใจไม่ให้ทุกข์ร้อนไปกับเหตุร้ายก็คือสติ สติอ่อนเมื่อไหร่ ใจก็จะโวยวายตีโพยตีพาย โทษคนโน้นคนนี้ จนลืมจัดการกับตนเอง ทั้งๆ ที่เป็นสิ่งที่ต้องทำก่อนอื่นใด
น้องๆ คุณเกษมสุขเล่าว่า ตอนเกิดอุบัติเหตุรถชนเสาไฟฟ้า คุณเกษมสุขโทรศัพท์บอกที่บ้านอย่างเรียบๆ ธรรมดาว่า "ไม่เป็นไร แต่คิดว่าตับแตก"
สติเท่านั้นที่จะทำให้เรื่องร้ายกลายเป็นเบา อย่างน้อยก็ไม่ทำให้เลวร้ายลงไปอีก ทั้งยังช่วยให้เราแก้ไขสถานการณ์ด้วยปัญญาอย่างสอดคล้องกับความเป็นจริง
ใคร ที่คิดว่าตัวเองทุกข์หนักหนาสาหัสแล้ว ลองนึกถึงชีวิตของคุณเกษมสุข อาจจะได้คิดว่าตนนั้นยังโชคดีอยู่มากเมื่อเทียบกับเธอ แต่เท่านั้นยังไม่พอ น่าจะได้คิดต่อไปอีกด้วยว่า สุขทุกข์นั้นแท้จริงอยู่ที่ใจ ไม่ได้อยู่ที่ว่าอะไรเกิดขึ้นกับเรา ถึงจนก็สุขได้ ถึงป่วยก็ยิ้มได้ แม้จะพลัดพรากสูญเสียแค่ไหน ก็ยังมีสิทธิแช่มชื่นแจ่มใสได้ แต่ถ้าทำใจไม่เป็นเสียแล้ว รวยแค่ไหน มีอำนาจมากเพียงใด ทรวดทรงงดงามเพียงใด ก็ยังทุกข์อยู่นั่นเอง
จะเจออะไรมาก็แล้วแต่ ข้อสำคัญประการสุดท้ายก็คือ อย่ายอมแพ้ต่อชะตากรรม อย่าปล่อยใจไปกับ ความลำเค็ญ ความล้มเหลว และความเศร้าโศกท้อแท้ ในยามร้ายไม่มีอะไรดีกว่าการปลุกใจให้อดทน เข้มแข็ง สดชื่น และเปี่ยมด้วยความหวังว่าพรุ่งนี้ย่อมดีกว่าวันนี้
ที่มา:พลังจิต
lab 6 SQL
ปฏิบัติการที่ 6 SQL
H: จากข้อ e เมื่อแปลออกมาเป็นภาษาคำถามของมนุษย์จะได้ว่า “ ให้เลือกแสดงฟิลด์รหัสนิสิต
ชื่อนิสิต อาจารย์ที่ปรึกษา และชั้น จากตารางนักเรียน (student) โดยมีเงือนไขคือเป็นนิสิตชั้นปีที่2"
ให้ลองแปลข้อ f ออกมาเป็นภาษาคำถามของมนุษย์
ตอบ F: SELECT studentid , Name, Advisor, Class, Hobby FROM student
ตอบ F: SELECT studentid , Name, Advisor, Class, Hobby FROM student
WHERE Hobby LIKE 'อ่าน*'
จะได้ดังภาพ
จะได้ดังภาพ
ให้เลือกให้เลือกแสดงฟิลด์รหัสนิสิต ชื่อนิสิต อาจารย์ที่ปรึกษา ชั้น และงานอดิเรก จากตารางนักเรียน (student) โดยมีเงือนไขคือ ตารางงานอดิเรกโดยมีคำว่าอ่านหนังสือ
I: ให้นิสิตสืบค้นข้อมูลด้วยภาษาSQLตามคำถาม " ให้เลือกฟิลด์ทั้งหมดจากตารางรายวิชา( subject) "
ตอบ SELECT subjectid , Name, Credit, Book, Teacher FROM subject; จะได้ตามภาพ
J : ให้นิสิตสืบค้นข้อมูลด้วยภาษาSQLตามคำถาม"ให้เลือกฟิลด์รหัสรายวิชา ชื่อรายวิชา และจำนวนหน่วยกิต
k: ให้นิสิตสืบค้นข้อมูลด้วยภาษาSQLตามคำถาม"ใฟ้เลือกฟิลด์รหัสรายวิชา ชื่อรายวิชา
m: ทดลองปรับเป็น SELECT student.Studentid,student.Name,Register.Score,
P: ให้นิสิตสืบค้นข้อมูลด้วยภาษาSQLตามคำถาม"ให้เลือกแสดงฟิลด์รหัสนิสิต ชื่อนิสิ
จากตารางรายวิชา(subject)"
ตอบ SELECT subjectid , Name ,Credit FROM subject;
จะได้ดังภาพ
และจำนวนหน่วยกิต จากตารางรายวิชา(subject) โดยมีเงือนไขคือเป็นรายวิชา 104111"
ตอบ SELECT subjectid , Name, Credit FROM subject WHERE subjectid =104111;
จะได้ดังภาพl: ทดลองพิมพ์ SELECT Student.Studentid , Student.Name, Register.Score,
Register.Grade FROM Register,student WHERE (Register.Studentid=Student.Studentid
AND Register.Studentid=4902)แล้วเลือก Run Query
จะได้ดังภาพm: ทดลองปรับเป็น SELECT student.Studentid,student.Name,Register.Score,
Register.Grade,Subject.Name FROM Register,Student,Subject WHERE
(Register.Studentid=student.Studentid AND Register.Studentid=4902 ) AND
(Register.Subjectid=Subject.Subjectid)
จะได้ดังภาพ
o: จากข้อ "m" เมื่อแปลออกมาเป็นภาษาคำถามของมนุษย์จะได้ว่า "ให้เลือกแสดงฟิลด์รหัสนิสิต
ชื่อนิสิต คะแนน เกรด และชื่อรายวิชา จากตารางนักเรียน(student) การลงทะเบียน(Register)
และรายวิชา(Subject) โดยมีเงือนไขคือแสดงเฉพาะนิสิตรหัส 4902 เท่านั้น"ให้ลองแปล "n"
ออกมาเป็นภาษาคำถามของมนุษย์
ตอบ ให้เลือกแสดงฟิลด์รหัสนิสิต ชื่อนิสิต คะแนน เกรด และชื่อรายวิชา จากตารางนักเรียน
(student) การลงทะเบียน(Register) และรายวิชา(Subject) โดยมีเงือนไขคือแสดง
รหัสรายวิชา104111เท่านั้น
ต คะแนน เกรด และชื่อรายวิชา จากตารางนักเรียน(Student)การลงทะเบียน(Register)
และรายวิชา(Subject) โดยมีเงือนไขคือแสดงเฉพาะรายวิชารหัส 104111เท่านั้น
และนิสิตอยู่ในชมรมภูมิศาสตร์เท่านั้น"
ตอบ SELECT Student.Studentid,student.Name,Register.Score,Register.Grade,
Subject.Name ,student.Club FROM Register,student,Subject
WHERE Register.Studentid=student.Studentid AND
Register.Subjectid=Subject.Subjectid AND Register.Subjectid=104111
AND student.Club='ภูมิศาสตร์';
วันเสาร์ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2554
SQL
ภาษา SQL
ฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์
ฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์เป็นฐานข้อมูลที่มีการจัดเก็บข้อมูลเป็นแถว และคอลัมน์ในลักษณะตารางสองมิติ โดยที่คอลัมน์หรือแเอททริบิวต์ในตารางต่าง ๆ ได้มีการออกแบบและผ่านการทำให้เป็นบรรทัดฐาน(Normalized) ทั้งนี้เพื่อลดความซ้ำซ้อน ความผิดพลาดที่เกิดจากการเพิ่ม ลบ หรือปรับปรุงข้อมูล และทำให้การจัดการฐานข้อมูลเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
ฐานข้อมูลที่ถูกต้องนั้นจะต้องไม่มีข้อมูลซ้ำซ้อน เพราะจะทำให้เสียพื้นที่ในการจัดเก็บและยากต่อการตรวจสอบค้นหาและแก้ไข ประโยชน์ของฐานข้อมูลที่ได้รับการออกแบบมาอย่างดีอีกอย่างก็คือ ทำให้สามารถมองเห็นภาพรวมของระบบการทำงานทั้งหมดได้ ซึ่งจะช่วยทำให้เกิดมองเห็นแนวทางการพัฒนาและปรับปรุงระบบงานนั้นๆ ได้ดียิ่งขึ้น
ประโยชน์ของ SQL
SQL เป็นภาษาเกี่ยวกับการจัดการฐานข้อมูล ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการนิยามข้อมูล การเรียกใช้ หรือการควบคุม การใช้คำสั่งเหล่านี้ที่มีในระบบจัดการฐานข้อมูล (Database Management System : DBMS) เช่น ACCESS dBaseIV ORACLE, DB2 ฯลฯ จะช่วยประหยัดเวลาในการพัฒนาระบบงาน หรือนำไปใช้ในส่วนของการสร้างฟอร์ม (FROM) การทำรายงาน (REPORT) ของระบบงานต่าง ๆ ได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
ประโยชน์ของภาษา SQL อีกประการก็คือ โปรแกรมระบบฐานข้อมูลส่วนใหญ่สนับสนุนภาษา SQL แทบทั้งสิ้น ดังนั้นถ้าเข้าใจภาษา SQLเท่ากับว่าคุณจะเขียนโปรแกรมติดต่อกับฐานข้อมูลอะไรก็ไม่ใช่เรื่องยากเลย...
ความรู้เกี่ยวกับ SQL
SQL ย่อมาจาก Structured Query Language เป็นภาษาที่ใช้ในการจัดการข้อมูลของฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ ผู้คิดค้น SQL เป็นรายแรกคือ บริษัทไอบีเอ็ม หลังจากนั้นมาผู้ผลิตซอฟท์แวร์ด้านระบบจัดการฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ได้พัฒนาระบบที่สนับสนุน SQL มากขึ้น จนเป็นที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน โดยผู้ผลิตแต่ละรายก็พยายามที่จะพัฒนาระบบจัดการฐานข้อมูลของตนให้มีลักษณะเด่นเฉพาะขึ้นมา ทำให้รูปแบบการใช้คำสั่ง SQL มีรูปแบบที่แตกต่างกันไปบ้าง เช่น ORACLE ACCESS SQL ของ Base Sybase INGRES หรือ SQL Server ของMicrosoft เป็นต้น ในขณะที่ American National Standards Institute (ANSI) ได้กำหนดรูปแบบมาตรฐานของ SQL ขึ้น ซึ่งเป็นมาตรฐานของคำสั่ง SQL ตาม ANSI-86 ที่ใช้เป็นมาตรฐานขั้นต่ำในการอ้างอิง อย่างก็ตามรูปแบบมาตรฐาน SQL ตาม ANSI-86 ก็มีข้อจำกัดในการใช้คำสั่ง SQL เช่นกันเมื่อเปรียบเทียบกับ SQL ของระบบจัดการฐานข้อมูล ที่ผู้ผลิตบางรายได้ทำการปรับปรุงและพัฒนาให้เป็นประโยชน์และง่ายสำหรับผู้ใช้อยู่ตลอดเวลา
ต่อมาในปี 1992 ANSI ได้ทำการทบทวน และปรับปรุงมาตรฐานของ SQL/2 และเป็นที่ยอมรับของISO (International Organization ) SQL/2 มีรายละเอียดเพิ่มขึ้น เช่น
- เพิ่มประเภทของข้อมูลที่มีจากเดิม
- สนับสนุนการใช้กลุ่มตัวอักษร
- มีความสามารถในการให้สิทธิ์เพิ่มขึ้น(Privilege)
- สนับสนุนการ SQL ใช้ แบบ Dynamic
- เพิ่มมาตรฐานในการใช้ Embedded SQL
- มีโอเปอเรเตอร์เชิงสัมพันธ์เพิ่มขึ้น ฯลฯ
ในขณะที่เขียนตำรานี้ ANSI กำลังทบทวนและปรับปรุง SQL อีกครั้ง (SQL/3) จุดประสงค์ของการกำหนดมาตรฐานเพื่อประโยชน์ในการใช้คำสั่งนี้ร่วมกันในระบบที่แตกต่างกันได้
(Application Portability) นอกจากนี้การเรียนรู้การใช้คำสั่ง SQL ตามมาตรฐานที่กำหนดขึ้น เป็นการง่ายที่จะนำไปประยุกต์ใช้หรือเรียนรู้เพิ่มเติมจากคำสั่ง SQL ของผู้ผลิตแต่ละรายได้
ประเภทของคำสั่ง SQL
1. ภาษาสำหรับนิยามข้อมูล (Data Definition Language : DDL) ประกอบด้วยคำสั่งที่ใช้ในการกำหนดโครงสร้างข้อมูลว่ามีคอลัมน์อะไร แต่ละคอลัมน์เก็บข้อมูลประเภทใด รวมถึงการเพิ่มคอลัมน์ การกำหนดดัชนี การกำหนดวิวของผู้ใช้ เป็นต้น
2. ภาษาสำหรับการจัดการข้อมูล (Data Manipulation Language : DML) ประกอบด้วยคำสั่งที่ใช้ในการเรียกใช้ข้อมูล การเปลี่ยนแปลงข้อมูล การเพิ่มหรือลบข้อมูล เป็นต้น
3. ภาษาที่ใช้ในการควบคุมข้อมูล (Data Control Language : DCL) ประกอบด้วยคำสั่งที่ใช้ในการควบคุม หรือป้องกันการเกิดเหตุการณ์ที่ผู้ใช้หลายคนเรียกใช้ข้อมูลพร้อมกัน โดยที่ข้อมูลนั้น ๆ อยู่ในระหว่างการปรับปรุงแก้ไข ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่ผู้ใช้อีกคนหนึ่งก็เรียกใช้ข้อมูลนี้ ทำให้ข้อมูลที่ผู้ใช้คนที่สองได้ไปเป็นค่าเก่าที่ไม่ถูกต้อง ทั้งนี้เพราะผู้ใช้คนแรกยังปรับปรุงแก้ไขข้อมูลไม่เสร็จ นอกจากนี้ ยังประกอบด้วยคำสั่งที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมความปลอดภัยของข้อมูลด้วยการให้สิทธิ์ผู้ใช้ที่แตกต่างกัน
SQL หรือ Structured Query Language
เป็นภาษาที่ใช้ในการติดต่อกับฐานข้อมูลหรือพูดอีกอย่างก็คือ เป็นภาษาที่ใช้ในการสั่งให้ฐานฐานข้อมูลกระทำการใด ๆ ตามคำสั่งที่เราสั่ง ซึ่งในการติดต่อฐานข้อมูลนั้น ไม่ว่าจะเป็น SQL Server , Microsoft Access , MySQL ,DB2 หรือแม้แต่ Oracle ก็จะต้องใช้คำสั่งภาษา SQL ในการควบคุมทั้งสิ้น และเราจะมาเรียนรู้ถึงคำสั่งพื้นฐาน ของ SQL ที่จำเป็น
เป็นภาษาที่ใช้ในการติดต่อกับฐานข้อมูลหรือพูดอีกอย่างก็คือ เป็นภาษาที่ใช้ในการสั่งให้ฐานฐานข้อมูลกระทำการใด ๆ ตามคำสั่งที่เราสั่ง ซึ่งในการติดต่อฐานข้อมูลนั้น ไม่ว่าจะเป็น SQL Server , Microsoft Access , MySQL ,DB2 หรือแม้แต่ Oracle ก็จะต้องใช้คำสั่งภาษา SQL ในการควบคุมทั้งสิ้น และเราจะมาเรียนรู้ถึงคำสั่งพื้นฐาน ของ SQL ที่จำเป็น
โดยส่วนใหญ่แล้วการใช้คำสั่ง SQL เพื่อติดต่อฐานข้อมูลนั้น จะใช้โดยหลักคือ 3 กรณี
1. การเรียกดู
2. การแก้ไข ลบ, เพิ่ม, เปลี่ยนแปลง
3. การสร้างขึ้นใหม่
เช่นการสร้าง Table ขึ้นมา 3 Table
1.customer เป็นตารางเก็บข้อมูลลูกค้า
2.audit เป็นตารางเก็บข้อมูลการใช้ยอดเงินลูกค้า 3.country เป็นตารางเก็บข้อมูลประเทศ
Table : Customer
CustomerID | Name | Email | CountryCode | Budget | Used |
C001 | Win Weerachai | win.weerachai@thaicreate.com | TH | 1000000 | 600000 |
C002 | John Smith | john.smith@thaicreate.com | EN | 2000000 | 800000 |
C003 | Jame Born | jame.born@thaicreate.com | US | 3000000 | 600000 |
C004 | Chalee Angel | chalee.angel@thaicreate.com | US | 4000000 | 100000 |
Table : audit
AuditID | CustomerID | Date | Used |
1 | C001 | 2008-07-01 | 100000 |
2 | C001 | 2008-07-05 | 200000 |
3 | C001 | 2008-07-10 | 300000 |
4 | C002 | 2008-07-02 | 400000 |
5 | C002 | 2008-07-07 | 100000 |
6 | C002 | 2008-07-15 | 300000 |
7 | C003 | 2008-07-20 | 400000 |
8 | C003 | 2008-07-25 | 200000 |
9 | C004 | 2008-07-04 | 100000 |
Table : country
CountryCode | CountryName |
TH | Thailand |
EN | English |
US | United states |
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)