โรคอุจจาระร่วงติดเชื้ออีโคไล O157:H7

ผู้ป่วยส่วนใหญ่ที่ติดเชื้ออีโคไล O157:H7 และมีอาการอุจจาระร่วงเพียงอย่างเดียว มักจะหายได้เองภายใน 5-10 วัน แม้ว่าจะได้รับการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะหรือไม่ก็ตาม มีรายงานการศึกษาวิจัยพบว่าการให้ยาปฏิชีวนะไม่ได้ทำให้ระยะเวลาการเป็นโรคติดเชื้ออีโคไล O157:H7 สั้นลง บางครั้งอาจเป็นสาเหตุกระตุ้นให้เกิดภาวะแทรกซ้อนทางไตด้วยซ้ำ สำหรับการใช้ยาแก้ท้องเสีย เช่น อิโมเดียมหรือโลโมติล ในกรณีนี้ถือว่าห้ามใช้เด็ดขาด จะทำให้การติดเชื้อทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น และเกิดภาวะแทรกซ้อนตามมาได้อีกหลายประการ
สำหรับปัญหาแทรกซ้อนทางไตที่เรียกว่า กลุ่มอาการเม็ดเลือดแดงแตกและไตวาย (hemolytic uremic syndrome) ถือว่าเป็นภาวะที่อันตรายอย่างยิ่ง และเป็นสาเหตุการเสียชีวิตที่สำคัญ
หากเกิดขึ้นส่วนใหญ่ผู้ป่วยต้องได้รับการดูแลรักษาในหออภิบาลผู้ป่วยหนักไอซียู ต้องได้รับการให้เลือดจำนวนมาก และต้องได้รับการรักษาภาวะไตวายด้วยการล้างไต หากผู้ป่วยได้รับการดูแลรักษาอย่างดีในไอซียู อัตราการตายจะลดลงได้มากเหลือเพียงร้อยละ 3-5

เชื้ออีโคไล O157:H7 คืออะไร
การป้องกันโรคระบาดจากการติดเชื้ออีโคไล O157:H7 ที่สำคัญที่สุดคือ เรื่องของสุขอนามัยในการประกอบอาหารและรับประทานอาหาร เน้นการบริโภคเนื้อสุกโดยเฉพาะอย่างยิ่งเนื้อบด
นอกจากนี้การล้างมือบ่อยๆ ยังช่วยป้องกันการติดเชื้อได้มาก และประการสุดท้ายควรระมัดระวังการติดเชื้อจากการบริโภคผลิตภัณฑ์นมวัวที่อาจปนเปื้อนเชื้อได้

เชื้ออีโคไลเป็นเชื้อแบคทีเรียมีหลายร้อยสายพันธุ์ ส่วนใหญ่เป็นสายพันธุ์ที่ไม่ก่อให้เกิดโรคร้ายแรงเท่าใดนัก และเป็นจุลชีพท้องถิ่นอาศัยอยู่ในทางเดินอาหารส่วนลำไส้ โดยไม่ทำให้เกิดโรคแต่อย่างใด ส่วนเชื้ออีโคไล O157:H7 มีความสามารถในการสร้างโปรตีนที่เป็นพิษ ทำให้เกิดโรคที่รุนแรงและเป็นอันตรายถึงกับเสียชีวิตได้ การระบาดของเชื้ออีโคไล O157:H7 ครั้งแรกในปี 1982 จากการสืบสวนโรคด้วยวิธีการทางระบาดวิทยา พบว่าเกิดจากเนื้อที่นำมาทำแฮมเบอเกอร์ติดเชื้ออีโคไล O157:H7 หลังจากนั้นพบการระบาดใหญ่อีกหลายครั้งและพบการระบาดในท้องถิ่นแทบทุกปี ในการศึกษาการระบาดของโรคนี้จำเป็นต้องระบุสายพันธุ์ให้ชัดเจน เนื่องจากเชื้ออีโคไลชนิดอื่นไม่ก่อให้เกิดโรครุนแรงในลักษณะนี้
การแพร่กระจายของเชื้ออีโคไล O157:H7 พบได้ทั่วไปในฟาร์มปศุสัตว์ และสามารถตรวจพบเชื้อในลำไส้ของวัวควายที่มีสุขภาพดี ไม่เป็นสัตว์ป่วยแต่อย่างใด เนื้อสัตว์โดยเฉพาะอย่างยิ่งเนื้อบดมีโอกาสปนเปื้อนเชื้ออีโคไล O157:H7 ได้มาก ไม่ว่าจะเป็นการปนเปื้อนในฟาร์ม การปนเปื้อนจากกระบวนการผลิต แม้กระทั่งการปนเปื้อนในผลิตภัณฑ์นม เมื่อคนกินเนื้อที่ปนเปื้อนเชื้อและไม่ได้ปรุงอาหารให้สุกจึงได้รับเชื้อได้ง่าย เนื้อที่ไม่สุกและปนเปื้อนเชื้อมักจะดูไม่ออกจากลักษณะภายนอกและไม่มีกลิ่นเหม็นแต่อย่างใด จากการศึกษาวิจัยทางจุลชีววิทยาพบว่าการที่ร่างกายได้รับเชื้ออีโคไล O157:H7 เพียงเล็กน้อยก็สามารถก่อให้เกิดโรคได้

เชื้ออีโคไล O157:H7 ก่อให้เกิดโรคท้องเสียหรืออุจจาระร่วง ในบางรายอาการอาจไม่รุนแรงมากและหายได้ภายในเจ็ดวันสิบวัน อย่างไรก็ตามผู้ป่วยน้อยรายที่จะถ่ายอุจจาระปกติ โรคอุจจาระร่วงที่เกิดจากการติดเชื้อนี้มักจะไม่มีไข้ แต่ผู้ป่วยจะปวดท้องมาก ถึงขั้นปวดบิดได้ ในเด็กอ่อนอายุน้อย 5 ปีและในผู้สูงอายุ มักจะเกิดโรคแทรกซ้อน เม็ดเลือดแดงถูกทำลายและทำให้ไตวาย เรียกชื่อว่า กลุ่มอาการเม็ดเลือดแดงแตกและไตวาย (hemolytic uremic syndrome) ในประเทศสหรัฐอเมริกาพบได้ร้อยละ 2-7 ของผู้ป่วยที่ติดเชื้อโรคนี้ และเป็นสาเหตุที่สำคัญที่สุดที่ทำให้เกิดภาวะไตวายเฉียบพลันในเด็ก การติดเชื้ออีโคไล O157:H7 จึงมีความสำคัญและเป็นปัญหาทางสาธารณสุขที่ควรให้ความสนใจอย่างหนึ่ง
ที่มา:www.bangkokhealth.com
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น