"การแสดงออกของมานะ (แบบตรง ๆ และแบบเนียน ๆ)"
มานะนั้นแสดงอาการได้หลายอย่าง อย่าง...หยาบๆ ก็คือ เย่อหยิ่ง จองหอง ถือตัว ดูถูกคนอื่น รวมทั้ง อวดเก่ง อวดเบ่ง อวดดี อวดฉลาด ขี้โม้ อวดรวย อวดสวย อวดหล่อ อาการอวดเหล่านี้ใช่มานะทั้งนั้น ลักษณะที่เราอวดรวยเช่น ใช้นาฬิกาโรเล็กซ์ หรือขับรถเบนซ์ หรือรถสปอร์ตราคาแพง ใช้กระเป๋าหลุยส์วิตตอง เป็นต้น คำว่าอวดแทบทุกตัวมันมาจากกิเลสคือมานะ มีทั้งการแสดงออกแบบดิบๆ โฉ่งฉ่าง หรือเนียนๆ ถ้าแบบเนียนๆ ก็เช่น นักปฏิบัติธรรมบางคนชอบสร้างภาพว่าฉันสงบ สมถะ เรียบร้อย อันนี้เน้นเรื่องการสร้างภาพ เพื่อต้องการแสดงให้เห็นว่าฉันเหนือกว่าเธอ ฉันดีกว่าเธอ เพราะฉะนั้นถ้าคิดว่าฉันไม่อวดเบ่งแล้วฉันปลอดภัยจากกรงเล็บของมานะ นั่นไม่ใช่
นอกจากความเย่อหยิ่ง จองหอง ดูถูก อวดเก่ง สร้างภาพแล้ว มานะยังแสดงอาการอย่างอื่นได้อีกเช่น ความภาคภูมิใจ เกิดความมั่นใจในตัวเอง จนกระทั่งเกิดความรู้สึกว่า ฉันแน่ ฉันเก่ง ฉันวิเศษ จนถึงขั้นหลงตัวลืมตน ที่จริงความภาคภูมิใจก็มีประโยชน์เหมือนกัน ไม่ใช่มีโทษอย่างเดียว เช่น ทำให้รู้สึกดีกับตัวเอง ไม่ใช่ว่าไร้ค่า แต่มันก็ยังเป็นกิเสลอยู่นั่นเอง
นอกจากนี้มานะยังทำให้เราไม่อยากฟังคำแนะนำจากใคร ไม่ชอบเวลามีใครตักเตือนหรือวิจารณ์ อาการแบบนี้ใกล้เคียงกับกิเลสที่ชื่อทิฏฐิ ทิฏฐิคือความใจแคบ ความยึดมั่นว่าความคิดของฉันนั้นถูก ความคิดของฉันนั้นดี ดังนั้นคนไทยจึงมักเรียก "ทิฏฐิมานะ" คู่กัน ก็เพราะว่าทั้งทิฏฐิและมานะ ทำให้เราดื้อดึง ไม่ฟังใคร อย่างไรก็ตาม ทิฏฐิกับมานะต่างกัน ตรงที่ทิฏฐิเป็นความยึดมั่นในความเชื่อของตน ยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นความคิดที่ถูกต้อง ส่วนมานะนั้นเป็นความยึดมั่นในอัตตาตัวตน คือยึดมั่นว่าฉันเก่ง ฉันแน่ ฉันถูก ก็เลยไม่ยอมฟังคำวิจารณ์
ความรู้สึกอิจฉาเมื่อเห็นเขาดีกว่า เก่งกว่า สวยกว่า เคร่งกว่า ปฏิบัติธรรมได้ก้าวหน้ากว่าเรา อันนี้ก็มาจากตัวมานะ เพราะมาจากความยึดมั่นถือมั่นว่า ฉันต่ำกว่าเขาไม่ได้ แม้เสมอเขายังไม่ได้เลย ฉันต้องสูงกว่าเขา คำว่าสูงนั้น แต่ละคนให้ความหมายไม่เหมือนกัน บางคนหมายความถึงการมีอำนาจ ความรู้ ความสวย ความเด่นดังมากกว่า หรือมีสถานภาพสูงกว่า ความรู้สึกยึดมั่นสำคัญหมายว่าฉันต้องสูงกว่า ฉันด้อยกว่าไม่ได้ อันนี้เกิดจากกิเลสที่ชื่อมานะ
มานะยังหมายถึงการกลัวเสียหน้า เวลาโต้แย้งกับใคร หรือว่าทำอะไรผิด ทั้ง ๆ ที่ก็รู้นะว่าเราผิดพลาดไป แต่เราก็ไม่กล้ายอมรับผิด หรือไม่กล้าขอโทษ โดยเฉพาะถ้าอีกฝ่ายนั้นมีสถานะต่ำกว่าเรา เช่น เราคิดว่าลูกโกหก ก็เลยต่อว่าลูก ภายหลังมารู้ว่าลูกไม่ได้โกหก เราเข้าใจผิดไปเอง แต่เราดุลูกไปแล้ว เราเคยมีความรู้สึกอยากจะขอโทษไหม แล้วขอโทษหรือเปล่า หรือบางครั้งเราต่อว่าลูกน้องอย่างรุนแรง ภายหลังรู้ว่าเราด่าผิดคน เรารู้สึกผิด อยากจะขอโทษ แล้วเรากล้าขอโทษเขาหรือเปล่า บางครั้งเรารู้ว่าผิดแต่ไม่กล้าขอโทษ ความไม่กล้านั้นก็มาจากความกลัวเสียหน้า จริงอยู่เราอาจมีเหตุผลว่า ถ้าเราขอโทษแล้วลูกน้องจะเหลิง ได้ใจ ทำให้เราปกครองลูกน้องได้ยาก ก็เลยคิดว่าอย่าขอโทษเลย แต่นั่นเป็นเหตุผลลวง เหตุผลที่แท้จริงคือเรากลัวเสียหน้า
เราเห็นกิเลสตัวนี้ไหม หลายคนไม่เห็นเพราะถูกบดบังด้วยเหตุผลที่ปรุงแต่งขึ้นมาเพื่อทำให้เรารู้สึกว่า การขอโทษนั้นไม่ดี ทำให้เราเป็นผู้นำที่อ่อนแอ เป็นการเปิดช่องให้คนอื่นเล่นงานเรา แต่ที่จริงแล้วมันมาจากกิเลสส่วนลึก นั่นคือมานะ คือความกลัวเสียหน้า อย่าว่าแต่คนรับใช้หรือลูกน้องเลย แม้กระทั่งกับพ่อแม่ บางทีเราก็กลัวเสียหน้า ไม่กล้าขอโทษเมื่อทำผิดกับท่าน อาตมาเคยทะเลาะกับพ่อตอนที่เป็นฆราวาส ต่อมารู้สึกว่าตัวเองผิด แต่ไม่กล้าขอโทษ อันนี้เกิดจากมานะ ต้องรวบรวมความกล้าอยู่นาน จึงจะกล้าไปขอโทษพ่อได้ จะเห็นว่ามานะนั้นแทรกซึมอยู่ในพฤติกรรมทั่วๆ ไป แสดงอาการออกมาหลายรูปแบบ ทั้งแบบดิบ แบบเนียน ทั้งโดยรู้ตัวและไม่รู้ตัว ดูเพิ่มเติม
มานะนั้นแสดงอาการได้หลายอย่าง อย่าง...หยาบๆ ก็คือ เย่อหยิ่ง จองหอง ถือตัว ดูถูกคนอื่น รวมทั้ง อวดเก่ง อวดเบ่ง อวดดี อวดฉลาด ขี้โม้ อวดรวย อวดสวย อวดหล่อ อาการอวดเหล่านี้ใช่มานะทั้งนั้
นอกจากความเย่อหยิ่ง จองหอง ดูถูก อวดเก่ง สร้างภาพแล้ว มานะยังแสดงอาการอย่างอื่นได้อี
นอกจากนี้มานะยังทำให้เราไม่อยา
ความรู้สึกอิจฉาเมื่อเห็นเขาดีก
มานะยังหมายถึงการกลัวเสียหน้า เวลาโต้แย้งกับใคร หรือว่าทำอะไรผิด ทั้ง ๆ ที่ก็รู้นะว่าเราผิดพลาดไป แต่เราก็ไม่กล้ายอมรับผิด หรือไม่กล้าขอโทษ โดยเฉพาะถ้าอีกฝ่ายนั้นมีสถานะต
เราเห็นกิเลสตัวนี้ไหม หลายคนไม่เห็นเพราะถูกบดบังด้วย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น